บันทึกเล่าขานตามตำนานนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่..
เล่ากันว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลาย บริเวณบ้านบางด้วน(ปัจจุบัน คือ บ้านบางก้าง หมู่ที่ 7 ตำบลบางตะบูน) คุ้งน้ำบางตะบูน เคยมีพลับพลาหรือตำหนัก พระเจ้าเสือ ซึ่งพระองค์เสด็จฯ มาประทับทรงเบ็ด ซึ่งในอดีตบริเวณดังกล่าวมีปลาชุกชุมมาก ในปัจจุบันมี วัดคุ้งตำหนัก เป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยนั้นตั้งอยู่ ดังมีบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ตามคำกลอนของสุนทรภู่ ที่ว่า
"ถึงที่วังตั้งประทับรับเสด็จ มาทรงเบ็ดปลากระโห้ไม่สังหาร
ให้ปล่อยไปในทะเลเอาเพดาน แต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา"
ตำบลบางตะบูน ตั้งชื่อตามต้นไม้ชายเลนชนิดหนึ่ง ชื่อ"ตะบูน" ภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล สภาพดินเป็นดินเลน และมีลุ่มน้ำมาก "บางตะบูน" เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีความสำคัญมาแต่โบราณ เนื่องด้วยมีแม่น้ำบางตะบูนไหลผ่านซึ่งลำน้ำสายนี้แยกมาจากแม่น้ำเพชรบุรี ไหลออกทะเลบริเวณปากอ่าวบางตะบูน ในสมัยก่อนแม่น้ำสายนี้เป็นเส้นทางสัญจรทางเรือของพ่อค้าวาณิชต่าง ๆ นับแต่สมัยโบราณ ลำน้ำบางตะบูนเป็นเส้นทางการคมนาคมที่มีความจำเป็นและสำคัญ แม้สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ครั้งรัชกาลที่ ๓ เมื่อสุนทรภู่เดินทางมาเมืองเพชรบุรี พ.ศ. ๒๓๗๔ ก็ได้ใช้เส้นทางนี้ ดังคำกลอนที่ว่า
"แล้วเคลื่อนคลาลาจากปากคลองช่อง ไปตามร่องน้ำหลักปักเป็นแถว
ข้ามยี่สารบ้านสองพี่น้องแล้ว ค่อยคล่องแคล่วเข้าชวากปากตะบูน"
และนอกจากต้นตะบูนแล้วยังมีต้นโกงกาง ต้นแสม ต้นตะบัน ต้นจาก ฯลฯ ซึ่งไม้เหล่านี้ถือเป็นไม้เศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวบางตะบูนมาหลายชั่วอายุคน ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ประกอบอาชีพปลูกป่าโกงกาง เผาถ่าน รับจ้างทั่วไป และบางส่วนประกอบอาชีพด้านประมงและสัตว์น้ำ